ปัญหา ผมร่วง รักษาได้อย่างไรบ้าง?
ปัญหา ผมร่วง หัวล้าน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ส่งผลกระต่อความมั่นใจของใครหลาย ๆ คน การปลูกผมจึงเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ สำหรับปัญหาเหล่านี้ โดยการย้ายรากผมซึ่งเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก เพื่อแก้ไขปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ไม่เป็นอันตราย แต่ต้องอาศัยฝีมือแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ในการทำหัตถการนี้ เพราะต้องกำหนดทิศทางของผมให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ที่สำคัญ คือเทคนิคในการย้ายเส้นผมจากจุดหนึ่งมาอีกจุดหนึ่งในมีอัตราการรอดสูงสุดค่ะ
หากคุณกำลังพบกับปัญหา ผมร่วง คุณไม่ได้เป็นคนเดียว เนื่องจากปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบได้กับหลาย ๆ คนทั่วโลก ดังนั้นศูนย์ดูแลเส้นผม 3M Hair จึงอยากให้ข้อมูล และแนวทางในบทความนี้อาจจะช่วยให้คุณเข้าใจปัญหา และมีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับปัญหาผมร่วง
วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม
วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะการเจริญเติบโต (Anagen phase) เป็นระยะที่เส้นผมเจริญเติบโตเต็มที่ เส้นผมจะงอกยาวขึ้นประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 – 6 ปี
- ระยะหยุดการเจริญเติบโต (Catagen phase) เป็นระยะที่เส้นผมหยุดการเจริญเติบโต เส้นผมจะหยุดยาวขึ้นและเริ่มลีบบางลง ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์
- ระยะหลุดร่วง (Telogen phase) เป็นระยะที่เส้นผมหลุดร่วง เส้นผมจะหลุดร่วงไปประมาณ 100 เส้นต่อวัน ระยะนี้กินเวลาประมาณ 3 – 4 เดือน
เส้นผมแต่ละเส้นจะอยู่ในวงจรการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน เส้นผมประมาณ 85 – 90% ของเส้นผมทั้งหมดจะอยู่ในระยะการเจริญเติบโต เส้นผมประมาณ 10 – 15% ของเส้นผมทั้งหมดจะอยู่ในระยะหยุดการเจริญเติบโต และเส้นผมประมาณ 5% ของเส้นผมทั้งหมดจะอยู่ในระยะหลุดร่วง หากเส้นผมอยู่ในระยะการเจริญเติบโตนานขึ้น เส้นผมก็จะยาวขึ้น หากเส้นผมอยู่ในระยะหยุดการเจริญเติบโตนานขึ้น เส้นผมก็จะลีบบางลง หากเส้นผมอยู่ในระยะหลุดร่วงนานขึ้น เส้นผมก็จะหลุดร่วงมากขึ้น
สาเหตุของ ผมร่วง
ผมร่วง เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผู้ชาย และผู้หญิง มีหลายสาเหตุที่อาจทำให้เกิดได้แก่
- พันธุกรรม : พันธุกรรมเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของผมร่วง ผู้ชายที่มีประวัติผมร่วงในครอบครัวมีแนวโน้มที่จะผมร่วงมากกว่าผู้ชายที่ไม่มีประวัติผมร่วงในครอบครัว
- ฮอร์โมน : ฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่าเทสโทสเตอโรนมีส่วนเกี่ยวข้องกับผมร่วง เทสโทสเตอโรนจะถูกเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่าไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งสามารถทำลายรากผม และทำให้ผมร่วงได้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน, การตั้งครรภ์, และการให้นมบุตร อาจทำให้เกิดผมร่วงได้
- โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ, โรคลูปัส, โรคโลหิตจาง ซึ่งโรคเหล่านี้ทำให้ระบบร่างกายทำงานผิดปกติ และไปรบกวนวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้การเติบโตหยุดชะงักเป็นเหตุให้มีผมร่วงเป็นจำนวนมาก
- ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด, ยาต้านการอักเสบ, ยาคุมกำเนิด, รวมไปถึงวิตามิน หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป โดยที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องได้รับจะส่งผลให้ไประงับการเติบโตของรากผม ทำให้เกิดผมร่วงได้ค่ะ
- ภาวะขาดสารอาหาร มักเกิดกับผู้ที่ลดน้ำหนักผิดวิธี ทำให้น้ำหนักลงมาก ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ ในบางรายมีภาวะขาดสารอาหารจำพวก ขาดธาตุเหล็ก, ขาดสังกะสี, ขาดวิตามินบี 12 ซึ่งทำให้เส้นผมอ่อนแอ และอาจทำให้เกิดผมร่วงได้
- ปัจจัยทางจิตวิทยา ความเครียด, ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า ในบางรายมีการดึงผม หรือถอนผมตัวเองโดยไม่รู้ตัว มักพบในกลุ่มคนที่มีความเครียด ซึ่งเหตุให้เส้นผมถูกทำลาย นำไปสูการสูญเสียรากผมแบบถาวรได้ค่ะ
ผมร่วง เกี่ยวกับพันธุกรรมไหม
แน่นอนว่าสาเหตุของผมร่วงตั้งแต่อายุยังน้อย สาเหตุมักมาจากพันธุกรรมมากกว่าปัจจัยอื่น ๆ พันธุกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดผมร่วงได้ ประมาณ 80% ของผู้ชายที่มีอาการผมร่วงจะมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม ในกรณีของผู้หญิง ประมาณ 30 – 50% ของอาการผมร่วงจะมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม
พันธุกรรมที่ส่งผลต่อผมร่วงจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ฮอร์โมนนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งจะเข้าไปทำลายรากผม ทำให้ผมร่วง และบางลง
ผมร่วง แค่ไหนถึงต้องรักษา
เส้นผมร่วงเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผู้ชาย และผู้หญิง สาเหตุของผมร่วงมีมากมาย เช่น กรรมพันธุ์ การขาดสารอาหาร ฮอร์โมน ยาบางชนิด ภาวะเครียด โรคต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วผู้ชายจะมีอาการผมร่วงมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงก็สามารถมีอาการผมร่วงได้เช่นกัน
หากผมร่วงมากกว่าปกติ อาจทำให้รู้สึกกังวล และขาดความมั่นใจ การรักษาผมร่วงมีหลายวิธี เช่น การใช้ยา การรักษาด้วยเลเซอร์ การปลูกผม หรือการผ่าตัด การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ และความรุนแรงของผมร่วง ลักษณะอาการเหล่านี้ที่อาจบ่งชี้ว่าถึงเวลาต้องรักษาผมร่วงแล้ว ผมร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวัน ,ผมร่วงเป็นกระจุก, ผมร่วงจากบริเวณที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ศีรษะด้านหน้าหรือด้านบน ผมร่วงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน, ผมร่วงทำให้คุณรู้สึกวิตกกังวลหรือขาดความมั่นใจ
การรักษาผมร่วงด้วยวิธี PRP
PRP (Platelet Rich Plasma) เป็นการรักษาผมร่วงที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน PRP เป็นการนำเกล็ดเลือดของผู้ป่วยเองมาฉีดเข้าสู่หนังศีรษะ ซึ่งเกล็ดเลือดนี้จะมีสาร growth factor ที่จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรงขึ้น ลดการหลุดร่วง ผลการรักษาของ PRP นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 3 – 6 เดือน และผลลัพธ์จะคงอยู่นานประมาณ 1 – 2 ปี
PRP เป็นการรักษาที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ หรือผู้ที่มีปัญหาผมขาดหลุดร่วงหลังคลอดบุตร PRP สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาเพื่อประเมินว่า PRP เหมาะสำหรับคุณหรือไม่
ขั้นตอนการทำ PRP นั้นไม่ซับซ้อน ใช้เวลาประมาณ 30 – 60 นาที แพทย์จะทำการเจาะเลือดจากผู้ป่วยประมาณ 10 – 20 มิลลิลิตร จากนั้นจะนำเลือดไปปั่นแยกเกล็ดเลือดออกมา เกล็ดเลือดที่ได้จะถูกนำไปผสมกับสาร growth factor แล้วฉีดเข้าสู่หนังศีรษะบริเวณที่มีปัญหาผมขาดหลุดร่วง
รักษาผมร่วงด้วยการปลูกผม
การปลูกผมเป็นวิธีรักษาผมร่วงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน การปลูกรากผมเป็นการผ่าตัดที่ย้ายรากผมจากบริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่ง ซึ่งเทคนิคที่นิยมมากที่สุดคือ FUT (Follicular Unit Transplantation) และ FUE (Follicular Unit Extraction)
- การปลูกผมแบบ FUT (Follicular Unit Transplantation)
เทคนิคแบบ FUT เป็นการย้ายรากผมโดยการตัดแถบหนังศีรษะจากบริเวณด้านหลังศีรษะ จากนั้นจึงนำรากผมออกมาทีละกอ แล้วนำไปปลูกในบริเวณที่ล้าน หรือบาง เทคนิคแบบ FUT ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง ผลลัพธ์ของเทคนิคแบบ FUT ค่อนข้างดี แต่แผลผ่าตัดอาจเห็นรอยแผลเป็นได้
- การปลูกผมแบบ FUE (Follicular Unit Extraction)
เทคนิคแบบ FUE เป็นการย้ายรากผมโดยการใช้เครื่องมือเจาะรูเล็ก ๆ บนหนังศีรษะ จากนั้นจึงนำรากผมออกมาทีละกอ แล้วนำไปปลูกในบริเวณที่ล้าน หรือบาง เทคนิคแบบ FUE ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง ผลลัพธ์ของเทคนิคแบบ FUE ค่อนข้างดี และไม่มีแผลผ่าตัดให้เห็น
การเตรียมตัวก่อนปลูกผม
การเตรียมตัวก่อนทำหัตถการต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเนื่องจากจะส่งผลกระต่อตัวคนไข้ระหว่างการผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัดได้ ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นดังนี้ค่ะ
หากมีโรคประจำตัว หรือมีการรับประทานยารักษาโรคอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบการเข้ารับการผ่าตัด
- หากมีโรคประจำตัว หรือมีการรับประทานยารักษาโรคอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบการเข้ารับการผ่าตัด
- งดวิตามินอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของน้ำมันทุกชนิดอย่างน้อย 10 – 14 วันก่อนการผ่าตัด เนื่องจากจะส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดขณะผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนการปลูกผม
- งดการใช้ Rogaine หรือ (minoxidil) อย่างน้อย 7 วัน ก่อนการผ่าตัด เนื่องจากเป็นสารที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม
- ในวันผ่าตัดควรใส่เสื้อที่ผ่าด้านหน้า เนื่องจากหลังการผ่าไม่ควรสวมเสื้อผ่านทางศีรษะ เพื่อป้องกันการกระทบบริเวณที่ทำการปลูกผม
- งดแต่งหน้า และจัดแต่งทรงผมในวันที่ผ่าตัด
ขั้นตอนการปลูกผม
การประเมิน และปรึกษา ก่อนที่จะเริ่มการปลูกผมคนไข้จะต้องไปพบกับแพทย์ เพื่อทำการประเมินสภาพผม วางแผนการปลูกรากผม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการของคนไข้
- โกนผมบริเวณที่จะปลูก และฉีดยาชาให้ทั่วบริเวณดังกล่าว
- เมื่อยาชาออกฤทธิ์แพทย์จะทำการเจาะกราฟผม ด้วยเครื่องมือเจาะหนังศีรษะตรงรากผม
- ในระหว่างที่เซลล์รากผมอยู่ภายนอกร่างกาย แพทย์จะเก็บรักษากราฟผมด้วยน้ำยาเลี้ยงเซลล์ เพื่อให้คงคุณภาพของรากผมให้สมบูรณ์ที่สุด ก่อนปลูกถ่ายกลับเข้าไปบนศีรษะ
- จากนั้นแพทย์จะทำการเจาะรู และนำเซลล์รากผมใส่ลงในรูที่เจาะเตรียมไว้จนครบบริเวณที่จะปลูก
การดูแลตัวเองหลังปลูกผม
การปลูกผมเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างเล็ก แต่สิ่งสำคัญคือต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังการผ่าตัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรดูแลตัวเองอย่างเคร่ง และปฏิบัติตาคำสั่งแพทย์ดังนี้ค่ะ
- หลังการปลูกผมควรพันผ้าทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ไม่ควรจับ แกะ เกา ซับเลือด เนื่องจากรากผมจะยังไม่เชื่อมติดกับผิวหนังใหม่ที่พึ่งปลูกลงไป
- ใส่ผ้ารัดศีรษะไว้ให้ครบกำหนดเวลาตามที่แพทย์แจ้ง โดยตอนนอนก็จำเป็นต้องใส่ไว้
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้ความดันร่างกายเพิ่มขึ้น และจะกระตุ้นให้เลือดออกได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการให้ศีรษะถูกแสงแดดโดยตรงเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ หากต้องออกจากบ้าน แนะนำให้สวมหมวกผ้าที่มีความโปร่ง ไม่อับ ไม่รัด หรือกดทับบริเวณแผล
- งดออกกำลังกาย และกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนัก ๆ เนื่องจากหากร่างกายเกิดความดันเพิ่มขึ้นจะดันให้กราฟผมหลุดได้
วิธีป้องกันผมกลับมาร่วงซ้ำ
- ดูแลหนังศีรษะให้สะอาด และแข็งแรง หนังศีรษะที่สะอาด แข็งแรงจะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย และเชื้อราที่อาจทำให้ผมร่วงได้ โดยการสระผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่ทางสถานพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้ หลีกเลี่ยงการสระผมบ่อยเกินไป และใช้ความร้อนกับผมให้น้อยที่สุด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อเส้นผม เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี และวิตามินซี จะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง และลดการหลุดร่วงได้ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช ผลไม้ ผักผลไม้สีแดง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน สามารถทำให้ผมร่วงได้ โดยดื่มน้ำเปล่าแทน ชาสมุนไพร หรือน้ำผลไม้
- จัดการกับความเครียด ความเครียดสามารถทำให้ผมร่วงได้ คุณสามารถจัดการกับความเครียดได้โดยการออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายอื่น ๆ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่อ่อนโยน ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่อ่อนโยนจะไม่ทำให้หนังศีรษะระคายเคือง ซึ่งอาจทำให้ผมร่วงได้ คุณสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่อ่อนโยนที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันโจโจบา